2010 ONGUSHI LASIK


การรักษาสายตาสั้นนั้นไม่ยากและไม่น่ากลัวอย่างที่คิดไว้
ตอนนี้สายตาของโอกี้เป็นปกติแล้วนะ ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยที่เรียกว่า "LASIK"
มันสุดยอดจริงๆครับ


Nearsighted treatment is not difficult anymore.
And not awful as ever thought
Oh...so bright!!! Thanks God bringing the high technology called "LASIK" to the World 555
WaaaHoo Trop fort!

click image to enlarge



เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว (2533-2553) ที่โอกี้ต้องทนอยู่กับแว่นหนาเตอะอันแสนน่าเบื่อ
ปี 2553 ปีที่มีการเปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งแต่ต้นปีเมษายนมีเพื่อนที่ออฟฟิตของโอกี้ ได้ชักชวนโอกี้ทำเลสิค
เมื่อมีคนชวน โอกี้ก็จัดไป ... เลสิค (Lasik) คำนี้ได้ยินมานานแล้ว แต่มันคืออะไร ขั้นตอนเป็นอย่างไร
โอกี้ไม่เคยจะอยากรู้มาก่อน เพราะได้ยินแค่ว่ามันคือการผ่าตัดแก้ไขสายตาสั้น
โอกี้ก็หยุดความสนใจอยู่แค่นั้น เนื่องด้วย 3 สาเหตุหลักคือ 1.กลัวการผ่าตัดที่อาจจะล้มเหลว
เพราะถ้าดวงตาคู่เดียวของโอกี้เป็นอะไรไป ชีวิตต่อจากนั้นคงดับสูญไปด้วย
2.เรื่องของการเงิน การผ่าตัดคงต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงแน่เลย แค่หลักพันหรือหลักหมื่นก็ไม่อยากจะเสียแล้ว
3.ด้วยความไม่มั่นใจในหน้าตาของตัวเอง ตอนใส่แว่นก็ว่าประหลาดแล้ว
ถ้าถอดแว่นคงน่ากลัวหนักแน่ๆเลย คนให้กำลังใจโอกี้ก็มีนะ แต่คนที่ชอบติก็ไม่น้อย

แต่ด้วยเหตุผลหลักที่ทำให้โอกี้ตัดสินใจคิดจะทำเลสิคนั้นมีอยู่หลายเหตุผลมากๆ
อย่างเช่นโอกี้บ้าบอลมากๆ การใส่แว่นมันสร้างปัญหาและอุปสรรคทั้งในการเล่นบอลอยู่ไม่น้อย
ในการใช้ชีวิตปัจจุบันที่ต้องคอยเอาใจดูแลแว่นเหมือนเป็นอวัยวะที่สำคัญของชีวิต
เพราะถ้าเว่นเป็นอะไรขึ้นมา โอกี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดดีๆนี่เอง
เพราะระยะมองตอนนั้นมันแค่ 1 ฟุตเท่านั้นเอง ถ้าไกลไปกว่านั้น ชาย-หญิงโอกี้ยังแยกไม่ออก
จริงๆแล้วผีหรือคนโอกี้ยังดูไม่รู้เลย หรือว่าในอนาคตถ้าโลกต้องเกิดภัยพิบัติใหญ่
แล้วเกิดแว่นของโอกี้เป็นอะไรไป โอกี้คงไม่สามารถดูแลและปกป้องคนที่โอกี้รักได้
หรือแย่กว่านั้น โอกี้คงเป็นตัวถ่วงดีๆนี่เอง การมองเห็นได้ในระยะสั้นนั้นไม่ใช่เป็นเพียงปัญหาเดียวเท่านั้น
แต่เพราะด้วยโอกี้เป็นคนสายตาเอียงร่วมด้วยกว่า 200 ถ้าโอกี้ถอดแว่นนานเกิน 3 นาที โอกี้จะมีอาการโลกหมุนทันที
แหม่ มันเป็นภาระเสียนี่กะไร นับเหตุผลได้มากมายอาเหล่าม่าขนาดนี้แล้ว
ด้วยอายุปูนนี้และเริ่มมีเงินเก็บกับเค้าบ้างแล้ว โอกี้ก็ไม่ลังเลเลยที่จะมุ่งหน้าสู่เส้นทางการทำเลสิค
ช่วงบ่ายโอกี้หยุดงานไว้ก่อน แล้วเริ่มค้นหาข้อมูลเรื่องการทำเลสิคจากอินเทอร์เน็ต
หาอะไรไม่เจอหรือต้องการข้อมูลอะไร จำไว้ Google ช่วยเราได้ ข้อมูลที่ได้รับมีมากอยู่พอสมควร
แต่ก็ไม่ครบถ้วนตามที่โอกี้อยากจะรู้ อ่านไปก็หงุดหงิดไปเพราะข้อมูลมันมีมากแต่ยังไม่ตกผลึก
คนนี้ว่าที่นั้นที่นี่ดี คนนั้นว่าราคาเท่านู้นเท่านี้ มั่วไปหมด เรื่องราคานี่เรื่องใหญ่นะเพราะจากการบอกเล่า
ก็มีข้อมูลราคาแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 4 หมื่นบาทจนถึงเหยียบแสน เล่นเอาเครียดไปเลย
เพราะเคยได้ยินมาแค่ 2 หมื่น - 4 หมื่นเอง ก็เตรียมใจไว้แค่ 2 หมื่นกว่าๆ ต้องมานั่งทำใจวางแผนเรื่องราคากันใหม่
แต่ด้วยสรุปได้ว่ามีคนแนะนำสถานที่ทำเลสิคดังๆอยู่ 5 - 6 แห่ง
สถานที่แรกๆที่โอกี้ตัดไปเลยนั้นคือกลุ่มโรงพยาบาลของรัฐบาล ซึ่งมีอยู่ 2 - 3 แห่ง
ตามข้อมูลที่ได้มาคนที่จะไปรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐบาลนั้นต้องจองคิวนาน บางรายนานเป็นเดือน
แต่ด้วยที่โอกี้เป็นคนใจร้อน เบื่อการรอคอย และด้วยเงื่อนของเวลาในการทำงาน เมื่อโอกี้ตัดสินใจทำแล้ว คิดแล้วต้องได้ทำเลย
สาเหตุที่คนคิดจะไปรักษาที่โรงพยาบาลรัฐบาลเยอะก็ไม่ใช่อะไร เพราะหลายคนคิดว่ารักษา Lasik ที่โรงพยาบาลรัฐบาลนั้นราคาจะถูกกว่า
แต่แท้จริงแล้ว ถ้าเทียบกันด้วยเทคโนโลยีและการให้บริการนั้น ราคาจะแทบไม่ต่างกันเลย
แล้วจะไปเสียเวลาต่อคิวเพื่ออะไร กระจายรายได้ให้ทั่วถึงดีกว่าเนอะ
คราวนี้ก็เหลือตัวเลือกแค่โรงพยาบาลเอกชนเท่านั้น ซึ่งมี 3 แห่ง
โอกี้จึงหาข้อมูลเพิ่มว่าที่ไหนดีกว่าและถูกกว่ากัน จึงมาได้รู้ข้อมูลเพิ่มว่า
แต่ละที่จะมีเครื่องมือที่ทันสมัยแตกต่างกันซึ่งจะมีผลถึงเรื่องราคาในการรักษา
ถูกหรือแพงเหตุผลหลักมันอยู่ที่เครื่องไม้เครื่องมือนี่แหละครับ เครื่องมือทำเลสิคทางการแพทย์จะแบ่งเป็น Generation
จะต่างกันที่ความทันสมัย เทคโนโลยี ความแม่นยำ อัตราความผิดพลาด ความง่ายต่อการใช้รักษา
ซึ่งรายละเอียดในจุดนี้เราคงไม่มีทางเข้าถึงได้ เพราะเป็นเรื่องของเทคนิคทางการแพทย์ที่เค้าคงไม่บอกกัน
ได้ข้อมูลมาคร่าวๆว่าเทคโนโลยี่ Generation ล่าสุดนั้น ในประเทศไทยตอนนี้มีใช้อยู่แค่ 3 แห่ง แห่งแรกเป็นของโรงพยาบาลศิริราช
ซึ่งเราได้ตัดตัวเลือกทิ้งไปแล้ว คราวนี้ก็เหลือเอกชนแค่ 2 แห่ง ก็มาวัดกันที่การให้บริการและราคาละกัน
จากการสอบถามทั้ง 2 แห่งมีค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่เท่ากัน แต่ศูนย์รัตนินนั้นได้ใจในเรื่องบริการที่ให้ข้อมูลได้เกือบจะครบถ้วนทุกอย่าง ไม่กั๊ก
เรื่องของเวลานัดที่ลงตัวกับช่วงที่โอกี้วางแผนเอาไว้พอดิบพอดี โอกี้จึงขอนัดเข้าตรวจกับศูนย์เลสิคโรงพยาบาลรัตนินนั่นเอง
โดยทางรพ.ได้แจ้งค่าใช้จ่ายเบื้องต้นว่ามีค่าตรวจ 2,000 บาท ตอนนั้นรู้สึกเหมือนโดนหักคอเลยแฮะ
เสีย 2,000 แล้ว จะไม่รักษาได้ไง เสียดายเงินแย่เลย จริงมะ

และแล้วก็ถึงวันนัดวันที่ 3 เม.ย. 2553 ... นี่หรือร.พ.รัตนิน เป็นสถานที่ที่ดูไฮโซ การบริการก็เป็นที่น่าประทับใจจริงๆ
พนักงานร.พ.ทุกคนให้เกียรติเราน่าดู แทบจะก้มกราบเราเลยแหละ น่ารักกันทุกคนเลยพูดจาดีและเป็นกันเอง
ถึงเวลา 9.00 น. การตรวจเบื้องต้นทั่วไปเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีปัญหาหรือเรื่องกังวลใจใดๆทั้งสิ้น
การตรวจไม่มีอะไรวุ่นวายมาก เริ่มจากการเช็คค่าสายตาเหมือนตอนไปวัดสายตาประกอบแว่น มีการวัดความดันตา
ความกลมของดวงตา รูม่านตา วัดค่าน้ำตา ความหนาบางของกระจกตาซึ่งจุดนี้แหละเป็นจุดสำคัญ
เพราะเหตุผลหลักว่าจะทำเลสิคได้หรือไม่นั้น คือเรื่องความหนาบางของกระจกตา
ถ้ากระจกตาบางเกินไป หมอจะไม่แนะนำให้ทำเลสิคแต่จะแนะนำให้รักษาด้วยวิธีอื่นแทน
เวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมง ก็ถึงขั้นตอนการวินัจฉัยว่าดวงตาของโอกี้สามารถทำเลสิคได้มั้ยและต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
เมื่อเข้าไปพบแพทย์ เป็นคุณหมอหญิงใจดี น่ารักด้วย พูดจาเป็นกันเองจึงทำให้รู้สึกผ่อนคลายเอามากๆ
ตอนแรกหมอให้ดู Presentation ก่อนเลยว่าดวงตาคนเราเป็นอย่างไร และดวงตาของคนสายตาสั้นนั้นต่างกันอย่างไร
และเล่าว่าเลสิคนั้นเป็นวิธีการผ่าตัดรักษาภาวะสายตาผิดปกติ (สายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด สายตาเอียง และสายตายาวตามอายุ) แบบถาวร
โดยใช้เครื่องแยกชั้นกระจกตา Microkeratome แยกชั้นกระจกตาให้มีความหนาประมาณ 1 ใน 3
ของความหนาของกระจกตาทั้งหมดแล้วใช้ Excimer Laser ขัดเนื้อกระจกตาชั้นกลาง
เพื่อเปลี่ยนความโค้งของกระจกตาโดยรวม แล้วจึงปิดผิวกระจกตาเข้าที่เดิม หมออธิบายให้ฟังต่ออีกว่าการจะทำเลสิคได้นั้น
ไม่เกี่ยงเรื่องอายุแต่ควรจะมีอายุ 18 ปีขึ้นไป เพื่อสายตาที่คงที่ เรื่องค่าของสายตาจะมากหรือน้อยนั้นก็ทำได้หมด
แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงเพื่อให้การรักษาเป็นไปด้วยดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุดนั้นคือผู้ที่มีสายตาสั้นคงที่ไม่เพิ่มมาเป็นระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป
และต้องไม่ใส่คอนแทกเลนส์มาอย่างน้อย 1 เดือน ก็โชคดีนะที่โอกี้ไม่เคยใส่คอนแทกเลนส์ จึงไม่ต้องรอปรับลูกตาเป็นเดือน
และสุดท้ายเรื่องของกระจกตาอันนี้สำคัญสุดๆต้องอยู่ที่แพทย์พิจารณาเท่านั้น ว่ากระจกตาหนาแค่ไหนๆถึงจะทำเลสิคได้
ซึ่งอย่างที่บอกความหนาของกระจกตาจะเกี่ยวไปถึงเทคโนโลยีการรักษาและเรื่องของราคารักษาด้วย
โอกี้ถามหมอด้วยว่า จะมีโอกาสสายตากลับมาสั้นอีกหรือไม่ หมอบอกว่าสาเหตุหลักของสายตาสั้นนั้นไม่ใช่มาจากการอ่านหนังสือในที่มืด การจ้องดูทีวีใกล้ๆ
อย่างที่เคยเข้าใจกันมา แต่เป็นเพราะกรรมพันธุ์ซะส่วนใหญ่ เราจึงมีโอกาสสายตากลับมาสั้นเหมือนเดิมได้เหมือนกัน
แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นและสายตาที่คงที่มานาน โอกาสการกลับมาสั้นนั้นก็จะน้อยลง ย้ำว่าน้อยลง หมายถึงว่าโอกาสกลับมาสั้นนั้นก็จะมีอยู่
แต่หมอก็บอกว่าตามสถิติแล้ว ก็อยู่ได้สบายๆ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งเมื่อถึงอายุตอนนั้นสายตาก็ยากที่จะกลับมาสั้นแล้วแหละ
ก็ถามหมอต่อไปในเรื่องที่โอกี้เป็นคนตาแห้ง ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการกินยาแก้สิวยี่ห้อหนึ่งอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี
จนเหมือนว่าตาจะแห้งอย่างถาวร หมอก็บอกว่ายานี้เป็นอันตรายนะ ไม่รู้ว่าทำไมแพทย์จึงกล้าที่จะขายให้คนไข้ ไม่มีจรรยาบรรณกันเลย
หมอบอกว่าคนตาแห้งก็สามารถรับการทำเลสิคได้ แต่แรกๆอาจมีผลกระทบอยู่บ้าง เพราะช่วงแรกๆของการทำเลสิคนั้นจะยิ่งทำให้ตาแห้งมากขึ้น
ผลข้างเคียงก็แค่จะรำคาญเพิ่มขึ้นนั่นแหละ แต่เมื่อผ่านไปซักระยะประมาณ 1 สับดาห์อาการก็จะดีขึ้นเอง
อีก 1 ความรู้ใหม่นั้นก็คือ ที่ใครๆชอบพูดว่าจะไปทำทำไม เดี๋ยวแก่สายตาก็กลับแล้ว เพราะพอแก่สายตาก็จะยาวมาหักล้างกับสายตาสั้น
อันนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดเต็มๆครับ สายตาสั้นกับยาวมันหักล้างกันไม่ได้ ถ้าใครสายตาสั้นกับยาวมาเจอกัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ
คนๆนั้นจะมีสายตามีปัญหา 2 แบบในคนๆเดียวกัน มองสั้นก็ไม่ชัด มองไกลก็ไม่ชัด ถือว่าเป็นเรื่องแย่ต่อการดำรงชีวิตจริงๆ
โอกี้ได้ถามหมอต่อไปในเรื่องของผลข้างเคียงและการรักษาหากเกิดข้อผิดพลาด
หมอบอกว่าในทางทฤษฎีแล้วความผิดพลาดนั้นอาจเกิดขึ้นได้ เช่นอาจมีการคำนวณความหนาบางของกระจกตาที่ผิดพลาด
หรืออาจเกิดจากการปฏิบิติตัวที่ไม่ถูกต้องของผู้รักษาเองจนทำให้เกิดผลกระทบกับกระจกตา
มาได้ยินอย่างนี้ก็เริ่มเหวอ เลยถามหมอกลับไปตรงๆว่า "หมอเคยพลาดมากี่ครั้ง"
หมอหัวเราะแล้วตอบมาด้วยรอยยิ้มว่า "ไม่เคยพลาดค่ะ" จริงๆก็รู้แหละว่าหมอไม่เคยพลาดหรอกหรือถ้าพลาดก็คงไม่บอก ห่ะ ห่ะ
แต่ก็เชื่อใจกันดีที่สุด หมอได้ยืนยันว่าถ้าเกิดมีการคำนวณผิดพลาด ผ่าตัดเปิดกระจกตาได้ไม่สมบูรณ์
จะให้กลับไปรอแผลสมานประมาณ 1 เดือนแล้วกลับมารักษาใหม่ได้
หรือถ้าใครยิงเลเซอร์แล้วผลไม่เป็นที่พอใจ คือยังมีสายตาสั้นเยอะอยู่ หมอยืนยันให้เข้ามารักษาผ่าตัดเพิ่มได้
หมอได้ให้ความรู้และตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับดวงตาจนเต็มอิ่ม คุณหมอสาวใจดีก็หยิบใบราคามาให้ดู
ในใบนั้นเป็นตารางราคาของการรักษา 4 ประเภท ซึ่งจะต่างกันที่เทคโนโลยีการรักษาและเรื่องของราคา
ที่มีตั้งแต่ 4 หมื่นจนถึงหลักแสน ในใจก็แอบภาวนาว่าขออย่าแพงมาก ขอแบบกลางๆละกัน แต่โอกี้มีหลักยึดด้านราคาอยู่ว่า
"ของดีต้องแพง ของแพงไม่จำเป็นต้องดี และของถูกไม่มีดี" หมอได้สรุปให้ว่าการรักษาของโอกี้เป็นแบบชนิด Platinum LASIK 2 ข้าง
ซึ่งเป็นแบบแพงสุด 79,000 บาท จริงๆก็ตามคาดอ่ะนะ เพราะเห็นใน Google เหมือนกัน ว่าคนส่วนใหญ่มักจะได้รักษาด้วยวิธีที่แพงสุด
วันแรกจบลงที่การเสียค่าตรวจไป 2,000 บาท สบายตัวเลย และด้วยความใจร้อน โอกี้ก็นัดหมอรักษาเลยในอาทิตย์ถัดไป

วันที่ 9 เม.ย.ตามวันนัด โอกี้ไปถึงร.พ.ก่อนเวลานัด 30 นาที เพื่อไปทำสมาธิระงับความตื่นเต้น
ใจนั้นอยากจะรีบๆทำให้เสร็จๆ แต่ต้องรอคิวก่อน เพราะมีคนรักษาก่อน 1 คน
ช่วงนั้นพนักงานมีเอกสารให้เซ็นยินยอมก่อนการผ่าตัดเพื่อยืนยันและยินดีรับการผ่าตัด
จากนั้นก็จ่ายเงินก่อนเลยกันชิ่ง โดยมีข้อเสนอว่าถ้าเราบริจาคแว่นตาเข้าโครงการกำลังใจเพื่อผู้ขาดแว่นสายตา
เราจะได้ส่วนลด 10,000 บาท โอกี้ไม่ลังเล บริจาคไปเลย 3 อัน
หลังจากกระเป๋าเบาเสียเงินไป 69,000 บาท พนักงานก็จ่ายยาล่วงหน้า
เป็นพวกยาฆ่าเชื้อ ที่ครอบตากับน้ำตาเทียบ รวมถึงอธิบายเกี่ยวกับการดูแลหลังการผ่าตัด
และก็มีเอกสารขั้นตอนการปฏิบัติตัวขณะผ่าตัดให้อ่านด้วย อ่านอย่างตั้งใจซ้ำไปซ้ำมา
จำได้ทุกขั้นตอนเลย เช่น ขณะผ่าตัดไม่ควรบี้หรือขยิบตาแรงๆ
ให้มองจุดสีแดงตลอดการผ่าตัด การมองเห็นจะหายไปชั่วขณะเมื่อถึงขั้นตอนนั้นนี้
โอกี้จำได้ทุกขั้นตอน เพื่อให้การรักษาผ่านพ้นไปด้วยดีและสมบูรณ์แบบที่สุด
เพราะอยากจะเสียเงินแค่รอบเดียวและไม่อยากรักษาซ้ำอีกแล้ว
สักครู่หนึ่งคุณหมอได้เรียกตรวจตาอีกรอบเพื่อเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด
การตรวจก็เหมือนๆเดิม วัดค่าสายตา วัดความดันตา วัดปริมาณน้ำตา บลา บลา บลา
ที่เห็นจะแตกต่างออกไปและเริ่มจะสร้างความกังวลให้โอกี้นั้นก็คือการกำหนดจุดยิงเลเซอร์บนตา
คุณหมอจะหยอดยาชาลงบนตา แล้วใช้ปากกาเฉพาะจิ้มกำหนดจุดลงบนตาดำทั้งสองข้าง
ด้วยโอกี้เป็นคนที่กลัวการมีสิ่งใดๆมาสัมผัสโดนลูกตาอย่างมาก
โอกี้จึงไม่เคยและไม่กล้าสัมผัสโดนส่วนหนึ่งส่วนใดตาตัวเองแม้แต่นิดเดียว
ซึ่งเป็นเหตุผลที๋โอกี้ไม่ใส่คอนแทกเลนส์ ด้วยเหตุนี้เมื่อคุณหมอยื่นปากกาเข้ามาใกล้ๆตา
สิ่งที่ตามมาคือ เปลือกตามันกระพริบเองโดยอัตโนมัติ ก็คงเป็นสัญชาตญาณการป้องกันตาตัวเองอ่ะนะ
แต่มันมาผิดเวลาจริงๆ กว่าหมอจะกำหนดจุดได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่นาน เกรงใจหมอเหมือนกันนนะ
ก็คิดดูสิ เห็นกับตาว่าปากกามันพุ่งเข้ามาหาตาดำ ใครจะไม่หลบบ้างเนี่ย จริงมะ
ต่อมาพยาบาลก็ให้ไปนอนรออยู่หน้าห้องผ่าตัด ฟังเพลงเบาๆ สงบจิตสงบใจ หยอดตาฆ่าเชื้อและยาชา
เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจทำสมาธิก่อนการผ่าตัด แต่คงยากที่โอกี้จะทำสมาธิได้
เพราะขณะนั้นในห้องผ่าตัดก็มีคนไข้กำลังรับการรักษาอยู่ เสียงเลเซอร์ที่มันยิงเข้าไปในเนื้อเยื่อดวงตา
มันช่างให้อารมณ์เหมือนกำลังดูหนังสงครามอวกาศจริงๆ โอกี้เริ่มเสียสมาธิ ความตื่นเต้นทำให้ต้องขอพยาบาลไปปัสสาวะอีก 1 รอบ
ทั้งๆที่เพิ่งเข้าไปเมื่อ 5 นาทีที่แล้ว ทำให้เราต้องมาฆ่าเชื้อ หยอดตา และเตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัดใหม่ทั้งหมด เกรงใจกันอีกแล้ว
รออยู่ไม่นาน ก็ถึงคิวของโอกี้เข้ารับการผ่าตัด ในห้องยังเหม็นไหม้อยู่เลยแฮะ
แต่ก็ยังรู้สึกพร้อม มั่นใจเอามากๆและไม่มีอาการหวั่นวิตกใดๆเหลืออยู่ทั้งสิ้น ในใจนึกแค่สมาธิ สมาธิ สมาธิ

หมอให้โอกี้ขึ้นไปนอนบนเตียง โดยมีไฟดวงโตและเครื่องมือขนาดใหญ่คล่อมอยู่ตรงหน้า
และมีพยาบาลสาวอยู่ล้อมรอบเกือบ 10 คน คนเยอะจัง ... นี่จะผ่าตัดตาหรือรุมแล่เนื้อหมูกันเนี่ย
หมอบอกว่าจะไม่วางยาสลบ จะใช้แค่ยาชาเท่านั้น เนื่องจากคนที่หลับตาหรือสลบนั้น ตามันกลิ้งหนีและเหลือกขึ้น
ทำให้ไม่สามารถผ่าตัดได้ หมอต้องการให้ผู้รักษามีสติและสามารถควบคุมดวงตาของเราให้อยู่นิ่งที่สุดทั้งสองข้าง
เพราะถ้าตาไม่นิ่ง เครื่องมือยิงเลเซอร์จะหยุดทำงานอัตโนมัติเพื่อป้องกันการผ่าตัดที่ผิดพลาด
ขั้นตอนแรกหมอได้ใช้อุปกรณ์ลักษณะเหมือนสติ๊กเกอร์ใส มาครอบรอบดวงตาผนึกขนตาไม่ให้ขนตารบกวนการผ่าตัด
จากนั้นใช้อุปกรณ์ถ่างตาบล็อคตาไว้อีกชั้นเพื่อป้องกันการกระพริบตา อันนี้พอใส่แล้วเริ่มเหวอแฮะ จินตนาการมันเริ่มมา
นึกไปถึงหนังเรื่อง Saw ความกลัวและความกังวลมันเริ่มมาเยี่ยมทีละนิด แต่ก็ท่องไว้ สมาธิ สมาธิ สมาธิ
หมอได้ทบทวนข้อปฏิบัติขณะผ่าตัดให้เราฟังอีกครั้งและหยอดยาชาซ้ำอีกหน จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการผ่าตัด
หมอเริ่มใช้ภาษาแพทย์คุยกันกับเหล่าพยาบาล ดูทุกคนจะวุ่นกันน่าดูแต่มีเรานี่แหละที่ตัวแข็งมิไหวติง
หมอได้ใช้เครื่องมือที่มีใบมีดแสนคมกริบ ปาดลงไปบนกระจกตาเพื่อเปิดกระจกตาออก
ขั้นตอนนี้จำได้เลยว่าจะทำให้มองไม่เห็นอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แป๊บเดียวจริงๆ
และก็ถึงขั้นตอนสำคัญ หมอบอกว่าอย่าเกร็งและให้จ้องไฟกระพริบสีแดงเอาไว้ให้นิ่งที่สุด
เพราะนั่นคือตำแหน่งที่จะยิงเลเซอร์เพื่อรักษา ถ้าผิดตำแหน่งไปเครื่องมันจะดับทันที
วินาทีที่เลเซอร์เริ่มยิงลงไปที่ตาดำของโอกี้ เสียงของเครื่องยิงเลเซอร์ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
และกลิ่นไหม้ที่กระจกตาของโอกี้โดนเลเซอร์เผา มันทำให้โลกเหมือนจะหยุดหมุน โอกี้แทบลืมหายใจ
สติเปิดเปิง สมาธิแตกกระจาย ความกล้าความมั่นใจมลายหายไปสิ้น จินตนาการต่างๆพรั่งพรูความกลัวเข้าคลอบงำ
ตอนนั้นมีความรู้สึกกลัวและอยากจะบ้ามากๆ ขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆที่เตรียมกันไว้ก่อนผ่าตัดโอกี้ลืมไปหมดแล้ว
รู้แค่ว่าอยากตื่นจากฝันร้ายอันแสนน่ากลัวนี้เหลือเกิน ตอนนั้นรู้สึกว่าใช้เวลาอยู่นานประมาณ 3 ปี กว่าตาข้างแรกจะเสร็จ
หมอใช้เกรียงพลาสติกปาดลงไปบนตาอีกรอบเพื่อปิดกระจกตาลงให้สนิทดังเดิม อีขั้นตอนนี้ก็เป็นอีกขั้นตอนที่โอกี้อยากจะบ้าตาย
แม้จะหยอดยาชาเอาไว้ แต่ความรู้สึกที่มีสิ่งนู้นสิ่งนี้สัมผัสลงบนตานั้นก็ยังสร้างความทรมานให้โอกี้อย่างมาก
หมอให้พักทำสมาธิ 1 นาที ดูเหมือนคุณหมอก็อยากจะบ้ากับโอกี้อยู่เหมือนกัน
เหลือตาที่ต้องยิงเลเซอร์อีก 1 ข้าง หมอทบทวนขั้นตอนการรักษาซ้ำอีกครั้ง
เพราะดูเหมือนโอกี้จะสติแตกจนลืมขั้นตอนสำคัญต่างๆไป เช่นต้องลืมตาอีกข้างไว้เสมอเพื่อให้ตาทั้งสองสร้างสมดุลกันและกัน
เพราะธรรมชาติของตาคนเราแล้ว เมื่อหลับตาข้างหนึ่ง ตาอีกข้างจะพยายามเคลื่อนที่ตามและขยับอยู่เสมอ
และที่สำคัญอีกอย่างคือ อย่าพยายามขยิบตาหรือบดตาข้างที่กำลังทำการรักษาเพราะตาจะสั่น อาจทำให้การรักษาผิดตำแหน่งได้
1 นาทีผ่านไปไวมาก หมอทำการบล็อคตาอีกข้างและเริ่มการผ่าตัดเหมือนตาข้างแรก
แต่ดูเหมือนตาข้างนี้จะหนักกว่าข้างแรกซะอีก ปัญหาที่เพิ่มมาคือตาอีกข้างแม้จะชาแต่ก็แสบมากๆ อาจเป็นผลจากยาชาและผลจากการโดนยิงเลเซอร์
แสบมากจนไม่สามารถควบคุมให้ลืมตาข้างที่รักษาเสร็จแล้วได้ การเพ่งสมาธิเพื่อให้ฝืนลืมตานั้น ทำให้โอกี้ลืมเพ่งสมาธิไปกับจุดสีแดงไปเลย
พอตาเราไม่นิ่ง เครื่องยิงเลเซอร์ก็ดับ สถานการณ์โดยรวมค่อนข้างตึงเครียด เรียกได้ว่าธาตุไฟของโอกี้เริ่มจะแตกแล้ว
เสียจริตไปหมดเหมือนสูญเสียการควบคุมจิตใจตัวเองไปด้วย จินตนาการและความกังวลไหลมาอย่าบ้าคลั่ง
จริงๆแล้วอยากบอกหมอว่าตอนนั้นโอกี้แสบตามากจนไม่รู้ว่าตัวเองลืมตาหรือหลับตา
ใจก็คิดนะว่ากำลังลืมตาข้างที่เสร็จแล้วอยู่ แต่หมอบอกว่าเราไม่ได้ลืมตาและการที่เราไปบดตาแบบนั้น มันยิ่งไม่ดีต่อกระจกตาของเราซะด้วย
เพราะอาจทำให้กระจกตาเคลื่อนหรือเปิดออกมาได้ ซึ่งก็จะเป็นอันตรายมากๆ หมอพูดลุ้นให้โอกี้เปิดตาและควบคุมตาให้นิ่งอยู่ตลอดเวลา
จำได้ว่าตอนนั้นเครื่องดับไปหลายรอบเพราะตาโอกี้ไม่นิ่งเอาซะมากๆ มือซ้ายกำมือพยาบาลอยู่แน่น แน่นมากๆ
เหมือนจะบอกพยาบาลว่า "แม่จ๋าช่วยหนูด้วย" ตอนนั้นพยายามสวดมนต์เพื่อทำสมาธิ แต่เหมือนว่าสติจะหายไปไหนแล้ว
โอกี้และคุณหมอรวมถึงเหล่าพยาบาลต้องใช้ความพยายามอยู่นาน สถานการณ์อันแลวร้ายวนไปวนมาอยู่หลายรอบ
แต่แล้วเหมือนสวรรค์โปรด ได้ยินหมอพูดว่า "เรียบร้อยแล้วค่ะ" เหมือนยกภูเขาลูกโตออกจากอก
โอกี้โล่งใจเป็นที่สุด ที่การรักษาผ่านพ้นไปได้เสียที โอกี้เข้าตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อเช็คความเรียบร้อย
หมอบอกว่าสายตาได้กลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ให้ใส่ที่ครอบตาอุลตร้าแมนเอาไว้ก่อน
เพื่อป้องกันเชื้อโรคและช่วยรักษาความชุ่มชื่นเอาไว้ และหมอบอกให้กลับบ้านได้
ตอนนั้นโอกี้แสบตามากๆจนลืมตาไม่ขึ้น แต่ก็พยายามที่จะเปิดตาเพื่อดูไปรอบๆให้แน่ใจว่า "ตากุไม่บอด"
ตอนนั้นตัวสั่นงันงก เหมือนลูกหมาโดนแกล้ง แต่โชคดีที่มีคนรู้ใจมาด้วย เพราะถ้ามาคนเดียวซวยแน่ๆ ตาก็ลืมไม่ขึ้นแถมยังใส่ที่ครอบตาอีก
โดนลากไปไหนนี่ไม่มีทางรู้เลย ความทรมานยังไม่จางหายตลอดระยะเวลาที่เดินทางกลับบ้าน
โอกี้แสบตามากๆ แสบแบบว่าต้องบี้ตาและน้ำตาไหลตลอดเวลา ทั้งๆที่หมอสั่งห้ามบี้ตาแรงๆเด็ดขาด
แต่ห้ามและบังคับไม่ได้จริงๆ กลับมาถึงบ้าน อ่อนแรงเลยทีเดียวนอนสลบไปเลย
นอนไป 3 ช.ม.ก็เริ่มดีขึ้น ความกังวล ความกลัวจนสติแตกเริ่มลดลงเรื่อยๆ แม้ตัวจะยังคงสั่นอยู่
แต่สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความสุขอันยิ่งใหญ่ ตาเริ่มมองเห็นชัดแล้วแม้จะมองผ่านที่ครอบตาก็ตาม
ซายซึ้งมากเลย ต้องขอบคุณโลกแห่งเทคโนโลยีมากๆที่ทำให้โอกี้เป็นคนปกติกับเค้าได้

วันรุ่งขึ้นหมอนัดตรวจอีกครั้ง ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ และก็มานั่งเม้ากันเรื่องวันผ่าตัด
หมอเล่าว่าหมอก็ลุ้นใหญ่เลย ว่าโอกี้จะทำสำเร็จมั้ย และก็ดีใจที่การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี
แม้จะต้องพยายามกันอยู่นานก็ตาม เหมือนต้องสร้างความลำบากให้ทุกๆคนเลย
และก็ไม่รู้ว่าพยาบาลที่เราบีบมือนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเราบีบมือไปแรงมากๆ
เค้าคงเอาเราไม่เม้ามันส์แล้วแหละ 555 เขินจัง
สิ่งที่หมอเน้นย้ำคือขั้นตอนการปฏิบัติหลังการผ่าตัด ที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด
เช่น
1)ห้ามล้างหน้าและระวังน้ำเข้าตา 1 อาทิตย์ อันนี้ทรมานโคตรๆ
เพราะปกติโอกี้จะล้าง 4 - 5 ครั้งต่อวัน แต่นี่ห้ามล้างหน้าเลยคงสกปรกน่าดู
แต่หมอก็แนะนำเป็นทิชชู่เปีกหรือใช้เซตาฟิล (Cetaphil) ได้
2)ห้ามว่ายน้ำหรือเล่นน้ำทะเลเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ อันนี้สบายไม่เล่นซัก 3 ปีเลย
3)ใส่แว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้งเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
จริงๆแล้วคุณหมอแนะนำให้ใส่แว่นกันแดดทุกครั้งที่ออกแดดด้วยซ้ำ
อันนี้ถ้าเห็นใครติดแว่นดำ ก็อย่าไปคิดว่าเค้าเว่อร์ เค้าแรด เค้าติดแฟชั่นอะไรเลย
คิดดูง่ายๆผิวหนังหนาๆของเรายังต้องป้องกันผิวจากแสงแดดเลย
แล้วสายตาอันบอบบางของลูกตาเราทำไมจะไม่กลัวแดดล่ะ
ใส่ไว้ป้องกันจะช่วยถนอมสายตาของเราและห่างไกลจากต้อได้ด้วยครับ
4)ใน 7 วันให้หลีกเลี่ยงที่ที่มีฝุ่นหรือควันและไม่ควรใช้สายตามาก
อันนี้สบาย เพราะ 7 วันที่โอกี้ลางาน โอกี้หลับทั้งวันทั้งคืนเลย
จริงๆหมอให้พักแค่วันเดียวเอง แต่โอกี้กันเหนียว หยุดยาวสบายใจกันเลย 55
5)ห้ามขยี้ตาหรือบีบตาแรงๆ ก็อย่างที่บอกไปแล้ว มันอาจจะทำให้กระจกตาเปิดหรือบี้ได้
หมอจึงให้เราครอบตาอุลตร้าแมนขณะหลับเป็นเวลา 7 วัน เพื่อป้องกันเราขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว
 
เมื่อครบ 1 อาทิตย์หมอก็จะนัดตรวจความเรียบร้อยอีก 1 ครั้ง
และจะนัดทุกๆ 1 เดือนและทุกๆ 3 เดือนตามลำดับ
แรกๆก็ไม่ค่อยชินครับ แอบมีอาการจะถอดแว่นตอนอาบน้ำและก่อนนอนอยู่เสมอ
บางทีก็เผลอจะจับแว่น แต่กลายเป็นจิ้มตาตัวเองตลอด
อะไรก็ชัดไปหมดเลย ชัดจนต้องหาที่วางกระจกใหม่ เพราะเดิมทีข้างเตียงโอกี้จะมีกระจกบานโตวางไว้อยู่
วางมา 8 ปีแล้ว ตอนสายตาสั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะมองอะไรไม่เห็นอยู่แล้ว
แต่พอมองเห็นปกติ เวลานอนจะเหวอครับ เหมือนมีคนมานอนข้างๆตลอดเวลา
จริงๆมันก็ผิดหลักฮวงจุ้ยอยู่แล้วครับ เค้าห้ามเอากระจกมาตั้งข้างเตียง เพิ่งรู้ว่ามันเป็นแบบนี้นี่เอง
ตอนนี้ผ่านไปเกือบปีแล้ว สายตาปกติดีมากแต่ก็ยังมีค่าสั้นอยู่ 5-25 ครับ
ซึ่งหมอบอกว่าเป็นเกณฑ์ที่ดีและเป็นเรื่องปกติเหมือนคนทั่วไป ยังคงรู้สึกดีมากๆทีได้ตัดสินใจทำเลสิค
ความสยองในวันนั้นมันได้หายไปแล้ว แต่ถ้าจะให้กลับไปทำซ้ำก็คงไม่เอาแล้วแหละ
แขยงไปเลยแฮะ แล้วยิ่งโอกี้หาคลิปขั้นตอนการทำเลสิคจาก Youtube มาดู
ยิ่งสยองเข้าไปใหญ่ เห็นเพื่อนบางคนเล่าว่าบางโรงพบาบาลเค้าจะให้ดูคลิปก่อนการผ่าตัดด้วยนะ
บ้าไปแล้ว ถ้ารัตนินเค้าให้โอกี้ดูก่อน โอกี้คงเหวอตั้งแต่เข้ารักษาแล้วแหละ
อันนี้ต้องขอบคุณคุณหมอ พยาบาล พนักงานโรงพยาบาลรัตนินทุกๆคน และเทคโนโลยีเลสิคมากๆๆๆครับ
ที่ทำให้ชีวิตปกติที่แสนวิเศษของโอกี้กลับคืนมา รู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่เลยนะ
เราไม่ต้องพะวงกับแว่นอีกแล้ว ไม่ว่าจะการใช้ชีวิตประจำวันหรือการเล่นกีฬา
ไม่ต้องมาห่วงว่าแว่นจะหายหรือหัก เสียเงินครั้งเดียว คุ้มไปเลย
ตอนนี้ก็ภาวนาแค่ว่า ขอให้สายตาปกติอยู่คู่กับโอกี้ตลอดไป
ไม่อยากเสียเงินซ้ำเหมือนการจัดฟันอีกแล้ว ทำแล้วทำอีกไม่คุ้มเลยจริงๆ

สำหรับใครที่คิดตัดสินใจจะทำเลสิค โอกี้แนะนำว่าถ้าเงินพร้อมให้ตัดสินใจทำไปเลยครับ
เพราะคุ้มจริงๆ เรื่องที่ลังเลว่าจะทำได้หรือไม่นั้น อันนี้ไม่ต้องไปคิดครับ
ทั้งหมดอยู่ที่แพทย์จะตัดสินใจให้ครับ เพราะบอกไปแล้วว่าองค์ประกอบหลักมีแค่เรื่องความหนาบางของกระจกตา
นอกนั้นทำได้หมดครับ และในเรื่องของบริการนั้นหายห่วง ที่นี่ทั้งคุณหมอและพยาบาลทุกๆคนน่ารักมากๆ พูดจาดีเป็นกันเองมากๆเลย
ทุกๆคนเป็นระดับมืออาชีพทั้งเรื่องของการทำเลสิกและมีจิตวิทยาในการพูด การให้กำลังใจ รวมถึงให้บริการที่ดีมากๆ เคลิ้มกันไปในบางเวลา
สำหรับเรื่องความน่ากลัวที่โอกี้เล่าให้ฟังนั้น อันนี้อย่าได้ใส่ใจ เล่าสู่กันฟังเป็น 1 ประสบการณ์เพี้ยนๆครับ
และขอยืนยันว่านั่นเป็นแค่ความปอดแหกส่วนตัวครับ เพราะหลังจากที่ไปถามเพื่อนๆพี่ๆที่เคยรักษากันมาแล้ว
ทุกเสียงพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า "ไม่เห็นน่ากลัวเลย" บางคนบอกสนุกซะอีกที่โดนยิงเลเซอร์ยิงเข้าตา
ฟังแบบนี้แล้วทำให้รู้สึกว่า "ตูปอดแหกอยู่คนเดียวหรือนี่"
ทำไงได้ ก็เป็นคนกลัวการสัมผัสโดนลูกตาอ่ะนะ ตามันมีคู่เดียวนี่นาก็ต้องหวงเป็นธรรมดา
แต่ตอนนี้พูดได้คำเดียวว่า คุ้มค่าสุดๆกับเงินที่เสียไป อย่าลืมนะครับใครที่ยังคงลังเล จงคิดแค่ว่า "ชีวิตที่ดีกว่ารออยู่ครับ"



MAKING of 2010 LASIK

http://www.ongushi.com/images/inweb/2010_05_ongushi_sketch_lasik_S.jpg


http://www.ongushi.com/images/inweb/2010_ongushi_lasik_model_full.jpg

ส่วนของโมเดลเสร็จเสียทีครับ สาหัสเอาการเลย เล่นเอาป่วยเลยนะเนี่ย ^^"

http://www.ongushi.com/images/inweb/Test_lasik_mat_01.jpg

http://www.ongushi.com/images/inweb/Test_lasik_mat_072.jpg

มาแล้วๆ แมทของหนูอองกี้ขี้โวยวายเสร็จแล้วครับผม ฮี่ฮี่

http://www.ongushi.com/images/inweb/Test_lasik_mat_063.jpg

คุณหมอสุดโหดตามมาติดๆแล้ว วะฮี่

http://www.ongushi.com/images/inweb/Test_lasik_mat_full.jpg

material เสร็จแล้วจ้า เล่นเอาเหนื่อยเลยนะ

http://www.ongushi.com/images/inweb/Test_lasik_light_01.jpg

ตามติดด้วยการเทสแสงครับ





Copyright © CG 2D&3D Art Design by Ongie Ongushi (Piyavach Arunotai) All rights reserved
www.ongushi.com
ongushi@hotmail.com